ฝุ่นสีแดงลอยคละคลุ้งขึ้นไปบนหมู่เมฆบนท้องฟ้าเบื้องหลังรถบรรทุกของแม็กซีน เทย์เลอร์ ซึ่งเคลื่อนไปบนท้องถนนด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขอบฟ้าเบื้องหน้าเธอเริ่มแผ่กว้างขึ้น พร้อมส่งประกายระยิบระยับท่ามกลางอุณหภูมิอันร้อนระอุของประเทศออสเตรเลีย นี่คือเขตชนบทที่ห่างไกลความเจริญ
อุณหภูมิภายนอกขณะนี้อยู่ที่ 48 องศาเซลเซียส และอาจเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่านี้ บ่อยครั้งอุณหภูมิในเขตชนบทอันห่างไกลนี้สูงทะลุถึงกว่าห้าสิบองศา
"คุณต้องดื่มน้ำมากๆ ไม่เช่นนั้นในสภาพอากาศแบบนี้คุณจะสูญเสียน้ำในร่างกายเร็วมาก" เธออธิบายตามข้อเท็จจริง "ความร้อนทำให้คุณมีปัญหาจริงๆ คุณอาจเอาชีวิตไม่รอดถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศ"
คุณย่าวัย 52 ปีผู้นี้ เดินทางหลายร้อยไมล์มาจากที่ไหนสักแห่ง จนมาถึงสถานที่อันเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ยกเว้น วัว อูฐ หรือหมาป่า ที่ข้ามถนนผ่านไปเป็นครั้งคราว หรือนานๆ ทีจะมีรถบรรทุกของบริษัทอื่นขับสวนมา
คุณต้องดื่มน้ำมากๆ ไม่เช่นนั้นในสภาพอากาศแบบนี้คุณจะสูญเสียน้ำในร่างกายเร็วมาก
เธอเร่งเสียงเพลง จากสเตอริโอให้ดังขึ้น และร้องเพลงคลอไปตามตำนานเพลงร็อคของชาวออสซี่ จิมมี่ บาร์นส์ เธอกล่าวว่า นั่นจะช่วยสูบฉีดอะดรีนาลีนได้ บางทีการฟังเพลงอาจช่วยให้เธอหยุดคิดถึงชายผู้หนึ่งซึ่งควรอยู่ตรงนั้นด้วยกัน เพื่อขับรถบรรทุกฝ่าชนบทอันห่างไกลที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่น
"สามีของฉันเป็นคนชักนำให้ฉันมาขับรถหางพ่วงหลังจากที่เขาเริ่มล้มป่วย" เธอเล่า "จนเราสามารถทำงานด้วยกันได้ในช่วงปีท้ายๆ ของเขา และฉันสามารถหาเงินเลี้ยงดูตนเองได้"
เป็นเวลาสามปีที่ทั้งคู่ทำงานบริษัทเดียวกัน ร่วมทีมเดียวกัน และใช้ชีวิตอยู่ในแคมป์ด้วยกัน พบเจอกันทุกค่ำคืน ก่อนที่สามีของแม็กซีนจะจากไปเมื่อสองปีก่อน
"ภาพวันเก่าๆ ยังอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันคิดถึงเขาทุกวัน และคิดว่าทุกวันนี้ฉันขับรถเพื่อเขา แม้ว่าเขาจะไม่อยู่ตรงนี้กับเราแล้วก็ตาม”
แม็กซีนกำลังขับรถแล่นระหว่างเมืองวู้ดดี้ วู้ดดี้ ในแคว้นพิลบาราอันห่างไกลของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ไปยังเมืองชายฝั่งของพอร์ต เฮดแลนด์ รวมระยะทางไปกลับ 800 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่เธอจะต้องวิ่งทุกวัน (มีวันหยุดหนึ่งวันเพื่อพักเหนื่อยจากการเดินทางหกเที่ยว) เป็นเวลาแปดสัปดาห์ ก่อนที่จะหยุดพักสองสัปดาห์เพื่อกลับบ้านของเธอที่บริสเบน ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย 5,000 กม. สำหรับการเดินทางขากลับ รถหางพ่วงสี่คันของเธอว่างเปล่า ระหว่างทางไปยังท่าเรือรถหางพ่วงยังเต็มไปด้วยแร่แมงกานีส ซึ่งเป็นหินโลหะสีดำชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายถ่านหิน และนำมาใช้เป็นโลหะผสมเพื่อทำสแตนเลส
แต่ละวันช่างยาวนาน ปกติรอบไปกลับจะใช้เวลาประมาณ 12 ถึง 13 ชั่วโมง แต่อาจเพิ่มขึ้นถึง 17 ชั่วโมง หากเกิดปัญหายางระเบิด รถเสีย หรือสภาพถนนไม่เหมาะสม เมื่อถึงฤดูฝน คุณอาจต้องติดอยู่ที่นี่หลายวันเพื่อรอให้น้ำที่ท่วมลดระดับลง
เหมืองจะทำงานเป็นระบบกะ ดังนั้น ทันทีที่แม็กซีนกลับมาถึงที่ทำการและเทของที่บรรทุกเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนขับอีกคนหนึ่งจะกระโดดขึ้นนั่งแทนที่เธอและเริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้ง เมื่อเขากลับมาถึงในอีก 12 หรือ 13 ชั่วโมงถัดมา เธอก็จะกลับขึ้นไปนั่งที่คนขับ เปิดอัลบั้มสุดโปรดคือ จิมมี่ บาร์นส์ และเริ่มต้นสู่ท้องถนนรอบใหม่
ที่นี่มีผู้หญิงทำงานไม่มากนัก และแม็กซีนเองก็ยอมรับว่าเคยเห็นเพียงผู้หญิงอีกหนึ่งที่คนขับรถหางพ่วง เมื่อถูกถามถึงอาชีพที่ทำ หลายต่อหลายคนต่างไม่เชื่อว่าเธอจะขับรถหางพ่วงจริงๆ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก "พวกเขาแค่พูดว่า "ว้าว คุณดูไม่เหมือนคนขับรถหางพ่วงเลย" เธอเล่า
อย่างไรก็ตาม แม็กซีนอยากที่จะเป็นคนขับรถบรรทุกมาตลอด เพราะพ่อของเธอก็เป็นคนขับรถบรรทุก เช่นเดียวกับสามีที่เพิ่งเสียชีวิตไป และตัวเธอเองก็ชื่นชอบการขับรถเพราะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมาก และแม้ว่าเธออาจเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานแบบผู้ชาย แต่เธอทราบดีว่าผู้ชายให้ความเคารพเธอ เช่นเดียวกับที่เธอเคารพพวกเขา
พวกเด็กผู้ชายยอดเยี่ยมมากๆ พวกเขามักจะทักทายผ่านทางวิทยุเสมอ "เป็นไงมั่งแม็กซ์ คุณโอเคนะ" ทุกคนจะทำแบบนี้กัน ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นผู้หญิง เราทุกคนเพียงแต่เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เราทำงานด้วยกันมานาน จึงเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน
"พวกเด็กผู้ชายดีเอามากๆ" เธอกล่าว "ถ้าคุณต้องหยุดรถหรือเกิดรถเสีย พวกเขาจะเข้ามาถามว่า "คุณมีน้ำเหลือพอไหม มีอาหารเก็บไว้พอไหม" หรืออาจจะหยุดรถและพยายามที่จะช่วยเหลือคุณ พวกเราเข้ากันได้เป็นอย่างดี และพวกเขามักจะทักทายผ่านทางวิทยุเสมอ "เป็นไงมั่งแม็กซ์ คุณโอเคนะ" ทุกคนจะทำแบบนี้กัน ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นผู้หญิง เราทุกคนเพียงแต่เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เราทำงานด้วยกันมานาน จึงเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน"
แม็กซีนและเพื่อนร่วมงาน มักจะทานบาร์บีคิวพร้อมเครื่องดื่ม และพูดคุย หัวเราะ และเล่าเรื่องตลกเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กันอยู่เสมอๆ
"เราต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ทุกคนล้วนเป็นมิตรจริงๆ และเข้ากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันควรต้องเป็นแบบนั้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เพราะเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าอยู่กับครอบครัวของตัวเอง"
เธอมีครอบครัวอาศัยอยู่ทั่วประเทศออสเตรเลีย แต่เธอมีบ้านของตัวเองอยู่ในบริสเบน ซึ่งลูกของเธอคนหนึ่งจากสามคนอาศัยอยู่ที่นั่น ส่วนลูกอีกสองคนอยู่ห่างออกไปทางใต้ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ตอนนี้เธอมีหลานสาวสองคน ส่วนหลานชาย "กำลังจะมา" เธอกล่าวอย่างสุขใจ
"บางครั้งฉันก็มัวคิดอะไรเพลินๆ" เธอกล่าว "ความคิดแล่นไปนิดหน่อย ฉันไม่ค่อยได้เจอครอบครัวบ่อยนัก จริงๆ นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหงุดหงิดหรอก เพราะเมื่อเราได้พบกันเราก็มีความสุขเสมอ ฉันเดาว่าฉันคงจะเริ่มชินกับมันแล้วล่ะ"
การตัดสินใจ ที่จะเก็บบ้านในบริสเบนโดยเข้าจำนองไว้ เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่เธอเล่าว่าทำให้เธอยังคงต้องขับรถบรรทุกอยู่ แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ที่นั่นมา 25 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันแคมป์ในเหมืองที่พอร์ตเฮดแลนด์ก็เป็นเสมือน "บ้าน" ของเธอเช่นเดียวกัน
"หลังจากผ่านไปแปดสัปดาห์ ฉันตั้งตารอคอยที่จะได้กลับบ้านที่บริสเบน แต่พอฉันกลับไปถึงฉันก็อยากกลับมาทำงาน เพราะไม่มีใครอยู่ที่บ้าน สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ หมายถึงสภาพแวดล้อมที่แคมป์ยอดเยี่ยมมาก”
บนท้องถนน ไม่เพียงคนขับรถจะสนิทสนมกันเท่านั้น พวกเขายังคุ้นเคยกับเครื่องมือชิ้นใหญ่ของวอลโว่เป็นอย่างดีอีกด้วย เพื่อลากน้ำหนักบรรทุกของบริษัท รถบรรทุกจะต้องเข้ารับบริการอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และคนขับจำเป็นต้องเติมน้ำมันรถและตรวจสอบสภาพรถก่อนใช้งานทุกวัน เพื่อให้รถวิ่งบนถนนได้ตลอดเวลา
"เราขับรถได้อย่างสะดวกสบายมาก ทุกๆ อย่างราบรื่น และเราดูแลรถเหล่านี้เหมือนกับเป็นรถบรรทุกของเราเอง คุณจะต้องขับรถคันเดิมตลอดเวลา ดังนั้นคุณต้องดูแลรักษารถให้สะอาดและให้ความเอาใจใส่ หากพวกเขา (บริษัท) ให้ใครสักคนมาขับรถ และคนๆ นั้นไม่เคยดูแลเอาใจใส่มันเลย ฉันคงหัวเสียมาก" แม็กซีนกล่าวและเสริมว่า: "อันที่จริงพ่อของฉันก็เคยมีวอลโว่ยู่คันหนึ่ง แล้วฉันก็บังเอิญได้มาขับรถวอลโว่เช่นเดียวกัน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกผูกพันเป็นอย่างมาก"
แม็กซีนยังครุ่นคิดถึงชีวิต ที่จะดำเนินต่อไปหลังจากทำงานขนส่งแมงกานีสระยะทางไกลผ่านทะเลทราย มากพอๆ กับที่เธอรักรถบรรทุกและไลฟ์สไตล์ที่มาพร้อมกัน
"ฉันคิดว่าฉันอาจจะทำงานนี้ไปอีกสักห้าปี จากนั้นอาจจะเกษียณตนเอง" เธอกล่าว "ฉันยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วจะทำอะไรต่อไป อาจจะย้ายไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในนิวเซาท์เวลส์มากขึ้น"
แต่สักครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยว่า เธอชอบใช้เวลาทุกนาทีในแต่ละวันท่องไปบนท้องถนน เปิดเพลงฟัง และหัวเราะครื้นเครงไปกับ "เด็กผู้ชาย" ทั้งหลายผ่านวิทยุสื่อสาร
"ฉันแค่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่" เธอกล่าว "ฉันหวังว่าสามีของฉันคงจะภาคภูมิใจในสิ่งที่ฉันทำอยู่มาก ฉันคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น"
รถบรรทุก: รถหางพ่วง "Quad"
รุ่น: Volvo FH16
เครื่องยนต์: 700 แรงม้า, แรงบิด 3,150 Nm พร้อมเกียร์ I-Shift
ชุดหัวลาก: 10X6 (twin steer tri drive)
หางพ่วง: รถพ่วง 4 คัน - รถพ่วง "A" 2 คัน, หัวพ่วง 2 หัว และ B-double (ชุดหนึ่งมี 7 ชิ้น)
น้ำหนัก: 175 ตัน (น้ำหนักรวม)
น้ำหนักบรรทุก: เกิน 113 ตัน
ความยาว: 53.5 เมตร
ล้อ: 84
เชื้อเพลิง: ความจุสูงสุดที่ 1,840 ลิตร (ระหว่างเหมืองต่างๆ และพอร์ตเฮดแลนด์ไม่มีสถานที่สำหรับเติมน้ำมัน และปกติรถวิ่งด้วยความเร็วเกิน 800 กม.)
คุณลักษณะ: ออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพอากาศที่ร้อนและสมบุกสมบันสุดๆ